Thursday, October 23, 2014

เมื่อ Android L กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแอนดรอยด์บน Material Design พร้อมฟีเจอร์ใหม่อีกเพียบ!จะสู้ IOS พอไหวไหมมาดูกัน

เชื่อว่าชาวแอนดรอยด์คงจะพอได้ยินชื่อแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า Android L กันไปบ้างแล้วนะครับ แต่อาจจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าแอนดรอยด์เวอร์ชั่นนี้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเวอร์ชั่นเดิมคือ Android Kitkat บ้าง ผมเลยหาข้อมูลมาเล่าให้เพื่อนชาวแอนดรอยด์ได้รับรู้กันก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการจากทาง Google ในช่วงเดือนหน้าเดือนตุลาที่จะถึงนี้ครับ
ขณะนี้ Android L ก็ยังคงเป็นเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาอยู่ (Android L Developer Preview) อยู่นะครับ โดย Android L นั้นถูกยกเครื่องปรับโฉมใหม่หมดจดให้อยู่บนการออกแบบดีไซน์ที่เรียกว่า Material Design ซึ่งทีมงานออกแบบของกูเกิลได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระดาษ และน้ำหมึก ดูเหมือนเป็นภาพศิลปะที่ดูเรียบหรูดูน่าเชื่อถือ, มีการเล่นแสงเงา พร้อมสีสันที่สดใสหลากหลาย และรองรับกับการนำไปใช้งานกับอุปกรณ์ในทุกๆ แพลทฟอร์ม และทุกๆ ขนาดของหน้าจอแสดงผล ตั้งแต่นาฬิกา, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, โน๊ตบุ๊ค, คอมพิวเตอร์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งหน้าจอแสดงผลในรถยนต์ และมี APIs (Application Programming Interface) ใหม่ๆ สำหรับนักพัฒนาอีกกว่า 5,000 รายการเลยทีเดียว เรียกได้ว่านักพัฒนาจะมีอะไรให้เล่นให้ลองอย่างเต็มอิ่ม รวมทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ สำหรับผู้ใช้งานอีกมากมาย ซึ่งพอจะสรุปได้คร่าวๆดังนี้ครับ

- เบราว์เซอร์ Chrome โฉมใหม่
ความโดดเด่นของ Material Design นั้นก็ได้นำมาใช้เพื่อการยกเครื่องเบราว์เซอร์ Chrome ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิคเคลื่อนไหวที่ลื่นไหลต่อเนื่อง, สีสันที่เปลี่ยนแปลงไปตามรูปภาพที่เรากำลังค้นหา, คำสั่ง New Pages Sliding In และที่สำคัญก็คือกราฟฟิคต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในเบราว์เซอร์ Chrome โฉมใหม่นี้ มีความเร็วมากถึง 60 เฟรมต่อวินาที
- Personal Unlocking การปลดล็อคหน้าจออัจฉริยะ
ความฉลาดอีกอย่างของหน้า Lock Screen ก็คือการปลดล็อคหน้าจอโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หรืออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่นหากเราได้ตั้งค่าสถานที่ (Location) เอาไว้ และกำลังอยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือมีการสวมใส่อุปกรณ์บลูทูธ สมาร์ทโฟนก็จะสามารถรับรู้ได้ และปลดล็อคหน้าจอให้โดยอัตโนมัติแบบไม่ต้องเสียเวลาใส่รหัส PIN หรือปลดล็อคด้วยวิธีการอื่นๆ เลยทีเดียว
- ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ด้วย Android Runtime (ART) และเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit

แต่เดิมบนระบบปฏิบัติการ Android 4.4 KitKat ตัว Runtime อย่าง ART (Android Runtime) เป็นเพียงตัวเลือกหนึ่งสำหรับนักพัฒนา หรือคนที่ชอบลองของใหม่เท่านั้น แต่พอมาถึงระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง Android L ตัว ART นั้นได้ถูกกำหนดให้เป็นตัว Runtime มาตรฐานเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง ART สามารถทำงานได้เร็วกว่าตัว Runtime ยอดนิยมก่อนหน้านี้อย่าง Dalvik Runtime ถึงสองเท่า ซึ่งนี่ก็คงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Android L นั้นมีประสิทธิภาพในการทำงานที่เหนือกว่าเดิม รวมทั้งสามารถทำงานร่วมกับสถาปัตยกรรมแบบ ARM, x86 และ MIPS ได้เป็นอย่างดี
สำหรับ ART นั้น จะมีการแปลงภาษา (Compilation) ในรูปแบบของ AOT (Ahead-of-Time) ซึ่งเป็นการแปลงไว้ล่วงหน้าครั้งแรกเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อมีการเรียกใช้งานแอพพลิเคชั่น ก็จะไม่ต้องเสียเวลาประมวลผลซ้ำอีก ซึ่งทรัพยากรของระบบ เช่นหน่วยความจำ ก็จะถูกใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า Dalvik Runtime เรียกได้ว่าหากทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์เมื่อไหร่ ART ก็น่าจะทำให้อุปกรณ์แอนดรอยด์ ให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลไม่แพ้อุปกรณ์ในฝั่งของไอโอเอส (iOS)และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ Android L นั้นมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมก็คือการรองรับเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit ซึ่งจะได้รับผลประโยชน์แบบเต็มๆ จากขนาดของหน่วยความจำ Register ที่ใหญ่กว่า, การรองรับกับการทำงานข้ามแพลทฟอร์ม และรองรับการใช้งานกับหน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ดังนั้นหากดูในภาพรวมแล้วก็จะเห็นว่า ช่องว่าง หรือความแตกต่างระหว่างสมาร์ทโฟน กับอุปกรณ์เฉพาะทางอื่นๆ ก็จะยิ่งแคบลงทุกที หากเทียบกันง่ายๆ ก็เรียกได้ว่าสามารถเข้าใกล้กับประสิทธิภาพของเครื่องเล่นเกมคอนโซล หรือแม้กระทั่งหน่วยประมวลผลภาพกราฟฟิคบนเครื่องคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
- ประสิทธิภาพด้านกราฟฟิคทีดีขึ้นด้วย Android Extension Pack


Android L นั้นได้เพิ่ม Android Extension Pack ที่รองรับมาตรฐาน OpenGL ES 3.1 เอาไว้ให้ จึงเหมือนเป็นการยกเอาประสบการณ์ของการแสดงผลภาพกราฟฟิคบนเครื่องคอมพิวเตอร์ มาใส่เอาไว้ในสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็หมายความว่า Android Extension Pack นั้นจะช่วยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับการแสดงผลภาพกราฟฟิคเกมส์ต่างๆ บนสมาร์ทโฟน ให้สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการไล่เฉดเงาในระดับสูง, แสงที่สวยงามขึ้น, การสะท้อนที่สมจริง และเอฟเฟคควันไฟที่ดีขึ้น
- ประหยัดพลังงานได้มากกว่าด้วย Project Volta
สำหรับ Project Volta นั้นเป็นเครื่องมือ หรือ APIs ตัวใหม่ ที่จะช่วยให้การรันแอพพลิเคชั่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพร้อมๆ กับการประหยัดพลังงาน โดยใน Android L นั้นจะมีการติดตั้งโหมดการทำงานแบบ Battery Saver Mode มาให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งหากเทียบกับโหมดการทำงานทั่วๆ ไป ก็จะสามารถยืดระยะเวลาในการใช้งานในแต่ละวันไปได้อีกราวๆ 90 นาที หรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง
- ใช้งานได้หลายโหมดภายในเครื่องเดียว
การใช้งานได้หลายโหมดภายในเครื่องเดียว หรือ Android for Work นั้นนับว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากๆ ระหว่างการทำงานก็อาจจะใช้งานในรูปแบบหนึ่ง และระหว่างการเล่นการอาจจะเลือกใช้งานในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการใช้งานในลักษณะนี้ หลายท่านก็อาจจะเคยได้เห็นกันมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ใน BlackBerry 10 และล่าสุดกูเกิลก็ขอนำฟีเจอร์แบบนี้มาใส่เอาไว้ใน Android L บ้าง โดยใน Android L จะแยกเก็บข้อมูลสำหรับการทำงาน และข้อมูลส่วนตัวไว้คนละส่วนกัน ซึ่งคุณสมบัติของ Android for Work นี้ไม่ต้องอาศัยการติดตั้งแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมแต่อย่างใด และที่สำคัญก็คือ บรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำของโลกอย่าง HTC, Samsung, LG, Sony, Huawai และ Motorola ได้ออกมาตอบรับในการสนับสนุนฟีเจอร์ Android for Work นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- หน้า Recent App ในมุมมองใหม่

ฟีเจอร์หนึ่งที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ต้องใช้อยู่เป็นประจำก็คือรายการแอพพลิเคชั่นที่เปิดใช้งานล่าสุด หรือ Recent App ซึ่งปุ่ม Recent App บน Android L จะดูคล้ายกับ Tab View ในเบราว์เซอร์ Safari บนระบบปฏิบัติการ iOS อยู่ไม่น้อย โดย Recent App ใน Android L นั้นจะมีลักษณะที่ดูเหมือนกับไพ่ที่เรียงซ้อนกัน และไพ่แต่ละใบ ก็จะมีรูปแบบของแสงเงา และสัดส่วนที่แตกต่างกัน เป็นรูปแบบเฉพาะตัว นอกจากนี้ในหน้า Recent App ยังมีช่องสำหรับการค้นหาข้อมูล และแท็บของเบราว์เซอร์ Chrome อยู่ด้วย ดังนั้นจึงสามารถสลับการทำงานในรูปแบบของ Multi-tasking ได้ง่ายกว่า
- ช่องค้นหาข้อมูลอัจฉริยะบนหน้าโฮม
ช่องค้นหาข้อมูล (Search Box) บนหน้าโฮม ที่ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพมากนักบนแอนดรอยด์เวอร์ชันเดิมๆ ถูกปรับปรุงให้ฉลาดขึ้นใน Android L โดยช่องค้นหาข้อมูลบนหน้าโฮมนี้จะสามารถจดจำได้ว่าผู้ใช้งานเคยค้นหาอะไรไว้บ้างในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะในแอพพลิเคชั่น หรือบริการต่างๆ หากมีการค้นหาอีกครั้งก็จะสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้น
- เพิ่มความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว
เรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวในขณะที่ใช้งานนับว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่า Android L ก็ได้พัฒนาความสามารถในเรื่องนี้ให้ดีขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งความปลอดภัยในส่วนของ Google Play Services และฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Kill Switch ซึ่งสามารถควบคุมเครื่องได้ในขณะที่เครื่องถูกโขมย และป้องกันการสั่งคืนค่าเครื่องจากโรงงาน (Factory Reset) นอกจากนี้กูเกิลยังได้แบ่งประเภทของความเป็นส่วนตัวของหน้า Lock Screen และ Notifications เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่สาธารณะ (Public), ส่วนตัว (Private) และความลับ (Secret)
--- คร่าวๆก็มีประมาณนี้ละครับ ก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อย น่าประทับใจสักเพียงไหน จะตื่นเต้นเหมือนกับตอน IOS เปิดตัว IOS 7.0 หรือเปล่าก็ต้องรอดูการเปิดตัวซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้าตุลาคมนี้ครับ โดยมีข่าวจาก 2 ค่ายแบรนด์มือถือชื่อดังออกมาให้ข้อมูลว่าหากมีการเปิดตัว Android L  เมื่อไหร่ก็จะรีบอัพเดตให้กับมือถือของตนตามมาภายในระยะเวลาไม่นานเช่น HTC บอกว่าจะอัพเดตให้ HTC ONE M7 และ M8 หลังจากเปิดตัวภายใน 90 วัน หรือ SAMSUNG ก็มีข่าวว่าจะอัพเดต Android L ให้มือถือของตนรุ่น Galaxy S5 , Note 4 ภายในเดือนพฤศจิการยนนี้ ซึ่งก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไปครับ

มาดูเมนูต่างๆเปรียบเทียบกันระหว่าง Android L กับ Kitkat กันครับ







ต่อครับ




มีอีก





ดูให้จุใจ





 
อีกนิดครับ






เป็นไงบ้างครับ ในความคิดของผมมันดูสะอาดตาดีนะครับ เน้นโทนสีอ่อนๆสีขาวเป็นหลัก 
ผมก็ว่ามันดูสวยดีครับแล้วกลับมาพบกันใหม่กับ
mobiloit เว็บที่จะช่วยให้การเลือกของคุณนั้นง่ายขึ้น สวัสดีคับ

Saturday, September 20, 2014

Asus Zenfone 6 รีวิวมือถือสมาร์ทโฟน สเป็คแจ่ม กับราคาสะเทือนวงการ ! โดย mobiloit




วันนี้มาพบกับ Asus Zenfone 6 หลังจากงานเปิดตัว Asus Zenfone แอนดรอยด์สมาร์ทโฟนใหมล่าสุดจาก Asus ก็มีเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม เนื่องจากเหล่า Asus Zenfone มาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงาม หน่วยประมวลผลจาก Intel และราคาเปิดตัวที่ทำเอาสะเทือนวงการสมาร์ทโฟนกันเลย จึงทำให้เกิดรีวิวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่อย่าง Asus Zenfone 6 ถึงแม้ชื่อ Zenfone จะคุ้นหูหลายคนกันมาบ้าง แต่ถ้าคุณได้รู้จัก Asus Zenfone 6 รับรองว่าจะเปลี่ยนความคิดและความเป็น Asus Zenfone เดิมๆ ไปเลย โดย Asus Zenfone 6 มีดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่หรูหรา ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่ยังใช้งานมือเดียวถนัดดี การประกอบดี แข็งแรง ไม่กรอบแกรบ เครื่องทดสอบเป็นสีขาวผิวด้าน ทำให้กระชับมือขณะใช้งาน
ขุมพลังของ Asus Zenfone 6 ได้มาจากหน่วยประมวลผล Intel Atom Z2580 Dual-core 2 GHz, RAM 2 GB และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 4.3 (เจลลี่บีน) ถึงสเปคจะระบุว่าหน่วยประมวลผลเป็น Dual-core แต่ Dual-core จาก Intel ก็ไม่ใช่ธรรมดานะ เพราะความลื่นไหลและความแรงใน Asus Zenfone 6 ก็อยู่ในเกณฑ์ดี ไม่กระตุก ไม่ค้างและไม่หน่วงแต่อย่างใด แต่ถ้าระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นเวอร์ชั่นใหม่ 4.4.2 (คิทแคท) น่าจะดีกว่านี้
Asus Zenfone ใช้หน้าจอ IPS LCD ขนาดใหญ่ถึง 6 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล ให้สีสันที่สมจริง คมชัดเนียนตา ใช้อินเตอร์เฟซ ZenUI มีหน้าตาสวยงามแต่ดีไซน์ไม่เหมือนใคร ไอคอนดีไซน์แปลกตา ในส่วนของ App Drawer จัดเรียงไอคอนเมนูแบบตาราง 4 x 4 ดูโปร่งโล่ง สบายตา ส่วน Lock Screen ก็เท่ สามารถตั้งค่าทาง
ลัดเมนูได้ 3 เมนูเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน

Asus Zenfone 6 มาพร้อมกับตัวเครื่องขนาดใหญ่ ดีไซน์สวยหรู ส่วนหนึ่งมาจากหน้าจอ IPS LCD ขนาดใหญ่ถึง 6 นิ้ว มีลำโพงสนทนา กล้องดิจิตอลตัวรองความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ไฟแจ้งเตือนสถานะ และปุ่มคำสั่ง 3 ปุ่มใต้หน้าจอ
ด้านขวา เป็นตำแหน่งของปุ่มปรับระดับความดัง-เบาของเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่ม Power สำหรับปลดล็อคหน้าจอและเปิด-ปิดเครื่อง 
ด้านซ้าย หากมองเผินๆ จะเห็นว่าไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใดๆ แต่ดูให้ดีๆ จะพบกับร่องแกะฝาหลังร่องเล็ก
ด้านบน มีช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มม. และช่องไมโครโฟนเพื่อตัดเสียงรบกวนภายนอก
ส่วนด้านล่าง มีพอร์ต Micro USB 2.0 ใช้งานถ่ายโอนข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ และชาร์จแบตเตอรี่ ใกล้ๆ กัน มีไมโครโฟนอีก 1 ช่อง
เมื่อพลิกมาด้านหลัง จะพบกับกล้องดิจิตอลความละเอียดสูง 13 ล้านพิกเซล และแฟลช LED ถัดลงมาเป็นลำโพงมัลติมีเดีย
เมื่อแกะฝาหลัง จะพบกับช่องใส่หน่วยความจำภายนอก microSD Card ช่องใส่ซิมการ์ดแบบไมโครซิม 2 ช่อง ส่วนแบตเตอรี่ของ Asus Zenfone 6 ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้
13 PixelMaster Camera
กล้องดิจิตอลของ Asus Zenfone 6 มีความละเอียดสูงถึง 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช LED และกล้องดิจิตอลตัวรอง 2 ล้านพิกเซล สำหรับใช้งาน VDO Call และถ่ายภาพตัวเอง ลูกเล่นจากกล้องของรุ่นนี้ถือว่ามีให้มากมายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นโหมดถ่ายภาพในหลายๆ สถานการณ์ ทั้ง HDR เก็บทุกรายละเอียดในภาพเดียว, Selfie ตรวจจับใบหน้าและถ่ายภาพ, Depth of Field สร้างภาพหน้าชัดหลังเบลอง่ายๆ ฯลฯ ถ้าคุณชอบถ่ายภาพ Asus Zenfone 6 มีลูกเล่นมากมาย พร้อมให้คุณสนุกกับการถ่ายภาพ ส่วนคุณภาพภาพถ่ายก็ถือว่าน่าพอใจ ภาพคมชัดดี สีสันสมจริง แต่ในเครื่องทดสอบ ระบบออโต้โฟกัสทำงานช้าไปนิด แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้ทัชโฟกัสก็ไม่มีปัญหา แต่ในเครื่องขายจริงจะมีการปรับปรุงกล้องอย่างแน่นอน การถ่ายวิดีโอ Full HD 1080p ก็ไม่มีปัญหาใดๆ ได้ภาพสมจริงและบันทึกวิดีโอได้ยาวๆ
Entertainment
Asus Zenfone 6 มีฟีเจอร์ความบันเทิงจุใจ มีเครื่องเล่นเพลงที่ใช้งานได้ตามมาตรฐาน พร้อมระบบเสียง AudioWizard ซึ่งความไพเราะของเสียงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เครื่องเล่นวิดีโอก็ใช้งานผ่านหน้าจอขนาดใหญ่ 6 นิ้วได้ดี หรือจะใช้งานวิทยุ FM ที่หน้าตาดีด้วย ZenUI ก็ตามสะดวก แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ระบบเสียง AudioWizard ไม่ได้ใช้งานได้เฉพาะเรื่องเสียงเพลงเท่านั้นนะ ยังมี Music Mode ให้เลือกอีกหลายแบบ ทั้ง Movie Mode, Gaming Mode, Recording Mode ฯลฯ เรื่องเล่นเกมส์ก็หายห่วง เล่นได้สบายๆ ทุกเกมส์ และมีของแถมอย่าง Amazon Kindle สำหรับคนรักการอ่าน
Connectivity
เรื่องการเชื่อมต่อจาก Asus Zenfone 6 ก็ต้องสมกับพี่ใหญ่ ทั้งการใช้งาน 2 ซิมการ์ดที่สแตนด์บายพร้อมใช้งาน 2 ซิมในเวลาเดียว แยกการใช้งาน 2 เบอร์ได้ง่ายๆ เรื่องอินเทอร์เน็ตก็ไม่เป็นรองใคร รองรับ 3G ทุกเครือข่าย หรือใช้งาน Wi-Fi ก็เจ๋ง มี Wi-Fi Direct แชร์ไฟล์สู่อุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น Splendid ปรับค่าสีหน้าจอ SuperNote แอพฯ จดโน้ตและวาดรูป WebStorage จัดเก็บข้อมูลและรูปถ่ายใน Asus Zenfone 6 ได้ทันที Power Saver ช่วยประหยัดพลังงานและยืดเวลาการใช้งาน
รูปตัวเครื่อง Asus Zenfone 6


รูปหน้าจอ Asus Zenfone 6
 

 


 

 

 

Final Opinion & Conclusion
ไม่ผิดหวังจริงๆ สำหรับ Asus Zenfone 6 สมาร์ทโฟนน้องใหม่ที่ให้ความประทับใจในการใช้งาน ตั้งแต่ดีไซน์สุดหรู อินเตอร์เฟซ ZenUI หน้าตาดี ใช้งานง่าย ความแรงและลื่นไหลจาก CPU Intel มีกล้องถ่ายภาพความละเอียดสูง 13 ล้านพิกเซลที่พร้อมไปไหนมาไหนกับคุณได้ทุกเมื่อ รองรับ 3G ทุกเครือข่าย ใช้งาน 2 ซิมก็ได้ แต่ Asus Zenfone 6 เปิดตัวด้วยราคาเพียง 8,990 บาทเท่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ทำให้สะเทือนวงการสมาร์ทโฟนนั่นเอง ถ้าเรื่องฟีเจอร์และความแรงระดับนี้ สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นก็มี แต่ถ้าเป็นเรื่องความคุ้มค่า หาได้ใน Asus Zenfone 6 เท่านั้น
Strength
- หน้าจอขนาด 6.0 นิ้ว ความละเอียด HD
- ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.3 (เจลลี่บีน)
- หน่วยประมวลผล Intel Z2580 Dual-core ความเร็ว 2 GHz
- กล้องดิจิตอลความละเอียดสูง 13 ล้านพิกเซล
- ใช้งาน 2 ซิมการ์ดได้
- รองรับ 3G ทุกเครือข่าย,Wi-Fi, Wi-Fi Direct
- ประหยัดพลังงานด้วย Power Saver
Weakness
- เวอร์ชั่นแอนดรอยด์ยังไม่เป็น 4.4.2 (KitKat)
- ร่องแกะฝาหลังมีขนาดเล็กเกินไป
- แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนไม่ได้

Credi:jaymart
 เป็นไงกันบ้างครับกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Asus Zenfone 6 น่าทึ่งสุดๆเลยช่ายม่าาาา  ด้วยราคาที่ไม่แพงมากจนเกินไปและเสป็คเครื่องที่สุดแรง น่าสอยมาครอบครองยิ่งนัก แล้วพบกันใหม่กับ mobiloit เว็บที่จะช่วยให้การเลือกของคุณนั้นง่ายขึ้น สวัสดีคับ